ยินดีต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์เสวรินทร์ สงสุรินทร์

วันพุธที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ประวัติความเป็นมาของวันปีใหม่

หากพูดถึงวันขึ้นปีใหม่ ตามหลักความเชื่อจะไม่ยึดถือว่าวันที่ 1 มกราคม ของทุกปี เป็นวันปีใหม่ ยกตัวอย่างเช่น วันตรุษจีน จัดเป็นวันปีใหม่ของชาวจีน, วันสงกรานต์ จัดเป็นวันปีใหม่ไทย  เป็นต้น เพียงแต่ทั่วโลกส่วนใหญ่ยึดหลักตามปฏิทินให้วันที่ 1 มกราคม ซึ่งเป็นวันแรก ของเดือนแรก ในปีนั้นๆ เป็น วันขึ้นปีใหม่นั้นเอง
เดิมที ใน 1 ปี เราจะมีจำนวนวัน 365 วัน แต่ในยุคสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ (ก่อนคริสต์ศักราช) ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์อียิปต์มาปรับแต่งให้ ทุกๆ 4 ปี ให้เติมเดือนกุมภาพันธ์ ที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน ให้เป็น 29 วัน ซึ่งในปีนั้นเราจะเรียกว่าเป็นปี อธิกสุรทิน


ความเป็นมาของวันปีใหม่ในไทย

วันขึ้นปีใหม่ (Happy New Year) ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า ปี หมายถึง เวลาชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน และ เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ
วันขึ้นปีใหม่ไทยประเพณีปีใหม่ของไทยสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 5 ตอนต้น ถือวันทางจันทรคติเป็นวันขึ้นปีใหม่
ใน สมัยรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ใช้พุทธศักราช แทน รัตนโกสินทรศก ตั้งแต่ พ.ศ. 2455 และต่อมาใน พ.ศ. 2456 โปรดให้รวมพระราชพิธีสัมพัจฉรฉินท์เถลิงศกสงกรานต์ พระราชพิธีศรีสัจจปานกาลถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยาเข้าด้วยกันเรียกว่า พระราชพิธีตรุษสงกรานต์
ในสมัยรัชกาลที่ 8 คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในพระปรมาภิไธยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร มหาอานันทมหิดล ได้ประกาศให้ใช้วันที่ 1 มกราคม เป็น วันขึ้นปีใหม่ เพราะวันที่ 1 มกราคม ใกล้เคียงวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นการใช้ฤดูหนาวเริ่มต้นปีและเป็นการสอดคล้องตามจารีตประเพณีโบราณของไทย ต้องตามคติแห่งพระบวรพุทธศาสนาและตรงกับนานาประเทศ โดยให้เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2484 ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 58 หน้า 31 เป็นต้นไป

สาเหตุที่วันขึ้นปีใหม่ไทยเปลี่ยนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม เพราะ??

  • เป็นการไม่ขัดกับหลักพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
  • เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมศาสนารพุทธ
  • เป็นการกำหนดให้เป็นวันเดียวในระดับสากลประเทศทั่วโลก
  • เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของไทย
สำหรับ พิธีของราชการและประชาชนในวันขึ้นปีใหม่ ก็จะมีตั้งแต่คืนวันที่ 31 ธันวาคม จนถึง วันที่ 1 มกราคม เช่น เคยยึดถือมาเดิม คือในวันสิ้นปีหรือ วันที่ 31 ธันวาคม ทางราชการหรือประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ จัดให้มีการรื่นเริง มหรสพ และในตอนเช้า วันที่ 1 มกราคม ก็จะมีการทำบุญตักบาตร สุดแท้แต่การจัด บางปีมีการจัดร่วมกัน บางปีบางท้องที่ก็ไปทำบุญตักบาตรกันที่วัดหรือที่ใดๆ บางท่านบางครอบครัว ก็มีการทำบุญตักบาตรหรือการทำบุญเลี้ยงพระที่บ้าน ที่สำนักงานของตน

การส่ง ส.ค.ส. วันปีใหม่ เกิดขึ้นเมื่อไหร่

ในวันปีใหม่ เราทุกคนจะรู้จัก ส.ค.ส. กันเป็นอย่างดี ที่มักเรียกกันว่า “ส่งความสุข” จริงๆ แล้วประเทศไทยเราไม่มีมาตั้งแต่ต้น แต่เราได้รับวัฒนธรรมมาจากต่างประเทศ ซึ่งมีมาตั่งแต่สมัยปลายกรุงศรีอยุธยา โดยจะมาในรูปแบบของกระดาษ ด้วยวิธีการเขียนหรือพิมพ์รูปภาพ ลงไปเพื่อเยี่ยมเยื่ยนกันในวันปีใหม่ และปัจจุบันนิยมส่ง ส.ค.ส. ในวันปีใหม่อย่างแพร่หลายมากขึ้น อีกทั้งยังมีการสร้าง ส.ค.ส. ขึ้นเพื่อใช้ในงานเทศกาลต่างๆ เช่น วันวาเลนไทน์ วันคริสต์มาส เป็นต้น

ส.ค.ส. พระราชทาน 2530
ส.ค.ส. พระราชทาน 2530
แต่ถึงอย่างไรแล้ว ส.ค.ส. ใดก็ไม่รู้สึกดีเท่าไร ส.ค.ส. พระราชทาน  ซึ่งคนไทยจะเฝ้ารอพระราชทานพรปีใหม่ทุกปี จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 โดยแรกเริ่มพระองค์พระราชทาน ส.ค.ส. ในปี พ.ศ. 2530 โดยทรงพิมพ์ออกจากคอมพิวเตอร์ และแฟกซ์พระราชานให้แก่หน่วยงานผู้รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท  โดยใช้รหัสแทนพระองค์ว่า “กส.9” เช่นเดียวกับการติดต่อทางวิทยุสื่อสารของพระองค์เอง

ส.ค.ส. พระราชทาน 2547
ส.ค.ส. พระราชทาน 2547
หลังจากนั้นพระองค์ทรงพระราชทาน ส.ค.ส. ทุกปี จนเมื่อเหตุการณ์ สึนามี ในปลายปี พ.ศ. 2547 สึนามึได้เข้าชายฝั่งทะเลอันดามันอย่างรุนแรง พระองค์ทรงห่วงใย ช่วยเหลือพสกนิกรอย่างหนัก อีกทั้งพระองค์ก็ทรงพระราชทาน ส.ค.ส. ที่สอดคล้องกับเหตุการณ์นั้นๆ  แต่แฝงไปด้วยข้อคิด และคติเตือนใจ

ส.ค.ส. พระราชทาน 2554
ส.ค.ส. พระราชทาน 2554
จากที่สังเกตุ จะเห็นได้ว่าพระองค์พระราชทาน ส.ค.ส. ในรูปแบบของกระดาษไม่มีสี ไม่มีลวดลายใดมากนัก แต่ในปี พ.ศ. 2554 พระองค์ทรงได้พระราชทาน ส.ค.ส. วันปีใหม่ ด้วยภาพสี ซึ่งเป็นภาพที่ทุกคนจะต้องผ่านตามาอย่างแน่นอน โดยเป็น “พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์สีครีมผ้าปัก พระกระเป๋าเป็นผ้าลายริ้วสีเหลืองสลับเทา ฉลองพระองค์ชั้นในเป็นเชิ้ตสีขาว ทรงผูกเนกไทลายริ้วสีเหลืองสลับเทา ประทับบนพระเก้าอี้ ด้านข้างพระเก้าอี้ที่ประทับทั้งสอง ข้างมีโต๊ะสูง โต๊ะด้านซ้ายวางแจกันแก้วก้านสูงปักดอกไม้หลากสี โต๊ะด้านขวาวางแจกันแก้วขนาดเล็กปักดอกไม้หลากสีเช่นกัน ทรงฉายกับสุนัขทรงเลี้ยง 2 สุนัข คือ คุณทองแดงที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2541 หมอบอยู่หน้าพระเก้าอี้ด้านขวาและคุณทองแท้ที่ทรงเลี้ยงมาตั้งแต่ปี 2542 หมอบอยู่หน้าพระเก้าอี้ด้านซ้าย มุมบนด้านซ้ายมีตัวอักษรสีเหลือง
ข้อความว่า ส.ค.ส.สวัสดีปีใหม่ 2554 มุมบนด้านขวามีข้อความภาษาอังกฤษ Happy New Year 2011
ด้านล่างของ ส.ค.ส. มีข้อความเป็นตัวหนังสือพิมพ์ด้วยสีน้ำเงินว่า ขอจงมีความสุข ความเจริญ มุมล่างขวา มีข้อความ ก.ส.9 ปรุง 121923 ธ.ค.53 พิมพ์ที่โรงพิมพ์สุวรรณชาด ท.พรหมบุตร, ผู้พิมพ์โฆษณา Printed at the Suvarnnachad publishing, D Bramaputra, Publisher กรอบของ ส.ค.ส.พระราชทานฉบับนี้เป็นภาพใบหน้าคนเล็กๆเรียงกันด้านละ 3 แถว ทุกหน้ามีแต่รอยยิ้ม”

ส.ค.ศ. พระเทพฯ พระราชทาน 2556
ส.ค.ศ. พระเทพฯ พระราชทาน 2556
ในปีนี้ พ.ศ. 2556 ได้มีพระราชทาน ส.ค.ส. จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้พระราชทาน ส.ค.ส. 2557 ด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เองอีกด้วย
***********************************************************************************

กิจกรรมวันขึ้นปีใหม่

1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆ ที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. ไปวัดเพื่อทำบุญ ถือศีล ปฏิบัติธรรม หรือฟังพระธรรมเทศนาฯลฯ เพื่อให้จิตใจสดชื่นแจ่มใสเบิกบาน
3. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
4. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ
วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น

วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2560

อาหารภาคอีสาน2

6. น้ำตกปลาหมึก

          ในเมื่อมีเมนูลาบก็ต้องตามมาด้วยเมนูน้ำตกที่เป็นของคู่กัน ก็เพราะว่ามีวิธีทำและส่วนผสมที่คล้ายกันนั่นเอง เมนูน้ำตกฮิต ๆ ก็คงเป็นน้ำตกหมู แต่ที่เราจะนำเสนอขอเปลี่ยนเป็นน้ำตกปลาหมึกสักหน่อยดีกว่า เอาใจคนชอบกินอาหารทะเล ทำง่าย ๆ ด้วย มาดูกัน

สิ่งที่ต้องเตรียม
           • ปลาหมึกหั่นเป็นชิ้น 200 กรัม
           • หอมแดงซอย 1 หัว
           • ผักชีฝรั่งซอย
           • ใบสะระแหน่ สำหรับโรยหน้า
           • น้ำปลา สำหรับปรุงรส
           • น้ำมะนาว สำหรับปรุงรส
           • พริกป่น ปริมาณตามชอบ
           • ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

           • ใส่น้ำลงในหม้อเล็กน้อย นำขึ้นตั้งไฟแรงจนเดือด ใส่เนื้อปลาหมึกลงไปรวนจนสุก ยกลงจาเตา ตักใส่อ่างผสมเตรียมไว้
           •  ใส่หอมแดง ต้นหอมซอย และใบสะระแหน่ลงในหม้อ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย และพริกป่น คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เติมข้าวคั่ว จากนั้นเคล้าผสมให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่จาน โรยใบสะระแหน่ พร้อมเสิร์ฟ
+++++++++++++

11 สูตรอาหารอีสาน รสเด็ดแซบนัว
7. ตับหวาน 

          เมนูอาหารอีสานสุดแซ่บจานนี้ คงจะเป็นที่โปรดปรานของคนที่ชอบกินอาหารกึ่งสุกกึ่ดิบ ที่จะนำตับหมูไปลวกพอเกือบสุก พอให้นิ่ม เพราะถ้าลวกสุกเกินไป ตับหมูจะแข็ง ไม่อร่อย ๆ นั่นเอง ส่วนใครที่รู้ตัวว่า สภาพกระเพาะไม่แข็งแรงก็ระมัดระวังกันด้วยนะจ๊ะ

สิ่งที่ต้องเตรียม
           • ตับหมู หั่นเป็นชิ้นบาง 200 กรัม
           • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
           • น้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ
           • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
           • พริกป่น ปริมาณตามความชอบ
           • ข้าวคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
           • ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
           • ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ
           • ใบมะกรูดซอย 1 ช้อนโต๊ะ
           • ใบสะระแหน่ ปริมาณตามชอบ

วิธีทำ

           • ต้มน้ำจนเดือดจัด นำตับหมูลงลวกจนสุก (ระดับความสุกเลือกตามความชอบ) ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ เตรียมไว้
           • ผสมน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย และพริกป่นเข้าด้วยกัน จากนั้นเทลงในอ่างผสมที่ใส่ตับหมูลวกไว้ เคล้าผสมให้เข้ากัน
           • ใส่ข้าวคั่ว ต้นหอมซอย ผักชีฝรั่งซอย ใบมะกรูดซอย และใบสะระแหน่ลงเคล้าผสมจนเข้ากันดี ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ
+++++++++++++

11 สูตรอาหารอีสาน รสเด็ดแซบนัว
8. หมูมะนาว

          เมนูหมูมะนาวถือเป็นเมนูกับแกล้มสุดฮิตเลยก็ว่าได้ ไปสังสรรค์ในวงไหนก็มักจะต้องสั่งมากินคู่ทุครั้งไป รสเปรี้ยวนำ เด็ดเผ็ดแซ่บเสียเหลือเกิน ใครที่ชอบเมนูแซ่บ ๆ ต้องลองเลย วิธีทำก็ไม่ยากด้วย

สิ่งที่ต้องเตรียม
           • เนื้อหมู หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตามยาว 200-300 กรัม
           • กระเทียมสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
           • พริกขี้หนูซอยละเอียด ปริมาณตามชอบ
           • น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
           • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
           • น้ำมะนาว 4-5 ช้อนโต๊ะ
           • ก้านคะน้า สำหรับรับประทานคู่
           • กระเทียมฝานเป็นแว่นบาง สำหรับโรยหน้า
           • ใบสะระแหน่ สำหรับโรยหน้า
           • พริกแห้งทอดกรอบ สำหรับโรยหน้า

วิธีทำ

           • ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟจนเดือด ใส่เนื้อหมูลงลวกพอสุก (ประมาณ 30 วินาที อย่าลวกนาน เพราะเนื้อหมูจะแข็ง) ตักขึ้นสะเด็ดน้ำ จัดใส่จานที่รองด้วยก้านคะน้า เตรียมไว้
           • ผสมกระเทียม พริกขี้หนู น้ำตาลทราย น้ำปลา และน้ำมะนาวเข้าด้วยกันจนน้ำตาลทรายละลาย ชิมรสตามชอบ ราดลงบนหมูที่เตรียมไว้ โรยด้วยกระเทียมฝาน ใบสะระแหน่ และพริกแห้งทอดกรอบ พร้อมเสิร์ฟ
+++++++++++++

11 สูตรอาหารอีสาน รสเด็ดแซบนัว
9. ต้มแซ่บกระดูกอ่อน

          ลองมาแซ่บกันในแบบอาหารอีสานประเภทต้ม ๆ กันดูบ้าง กับเมนูต้มแซ่บกระดูกอ่อน กัดกรุบ ๆ ซดน้ำแซ่บ ๆ นึกถึงทีไรเป็นต้องกลืนน้ำลายเอื๊อกใหญ่ ! ถ้าพร้อมจะแซ่บแล้ว ก็ตามมาดูวิธีทำกัน

สิ่งที่ต้องเตรียม
           • น้ำ 500 มิลลิลิตร
           • ข่าแก่หั่นแว่น 5 ชิ้น
           • ตะไคร้หั่นเฉียง 1 ต้น
           • ใบมะกรูด ฉีกก้านกลาง 3 ใบ
           • กระดูกอ่อนหมูหั่นเป็นชิ้น ๆ 200 กรัม
           • เห็ดฟางผ่าครึ่ง 100 กรัม
           • มะเขือเทศราชินีผ่าครึ่ง 50 กรัม
           • หอมแดงซอยบาง 1 หัว
           • น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
           • น้ำมะขามเปียก 2 ช้อนโต๊ะ
           • น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา
           • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
           • พริกป่น ปริมาณตามความชอบ
           • ใบโหระพา 10 ใบ
           • ผักชีฝรั่งซอย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

           • ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟต้มจนเดือด ใส่ข่า ตะไคร้ และใบมะกรูดลงต้มจนเดือดอีกครั้ง
           • ใส่กระดูกอ่อนหมูลงต้มจนสุก ใส่เห็ดฟาง มะเขือเทศ และหอมแดงซอยลงต้ม ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลทราย คนผสมจนเข้ากันดี ยกลงจากเตา ตักใส่ชาม เติมน้ำมะนาว พริกป่น และผักชีฝรั่ง ชิมรสตามชอบ โรยด้วยใบโหระพา พร้อมเสิร์ฟ
++++++++++++++++++++



10. ต้มซุปเปอร์ขาไก่

          ถ้ายังแซ่บไม่พอต้องจัดเมนูต้มซุปเปอร์ขาไก่ ถ้วยนี้ซะหน่อยแล้ว ที่รับรองเลยว่า อร่อยเด็ดถึงใจสุด ๆ กินทีไรเป็นเพลินทุกที แถมสูตรนี้ยังใส่เอ็นข้อไก่ด้วยนะจ๊ะ หรือตามไปดูวิธีทำอย่างละเอียดได้ที่นี่เลย

ส่วนผสม ต้มซุปเปอร์ขาไก่

           • น้ำเปล่า 500-700 มิลลิลิตร
           • ขาไก่ 500 กรัม
           • ข่า (หั่นเป็นแว่น)
           • ตะไคร้ (หั่นเป็นท่อน)
           • หอมแดง (ปอกเปลือก)
           • ใบมะกรูดฉีก
           • พริกสด
           • ผักชี
           • ผักชีฝรั่ง
           • ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
           • น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
           • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ

 วิธีทำ ต้มซุปเปอร์ขาไก่

           • ใส่น้ำลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟแรง จากนั้นใส่ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด และหอมแดงลงไปต้ม พอน้ำเดือดพล่านแล้วใส่ขาไก่ลงไปต้ม (หมั่นช้อนฟองอากาศทิ้ง) 
           • ก่อนปรุงรสให้ตักส่วนผสมเครื่องต้มยำออกก่อนแล้วใส่ซีอิ๊วดำ น้ำปลา และซอสปรุงรสลงไป คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ  ต้มต่ออีกประมาณ 30 นาที จนขาไก่เปื่อย
           • ซอยพริกขี้หนู ใบผักชีฝรั่ง ผักชี และหั่นมะนาวเตรียมไว้
           • พอต้มจนขาไก่เปื่อยแล้ว บีบมะนาวลงไป (ปริมาณตามชอบ) ตามด้วยพริกที่ซอยไว้ คนผสมให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วย โรยผักชีและผักชีฝรั่งซอย พร้อมเสิร์ฟ

++++++++++++++++++

11 สูตรอาหารอีสาน รสเด็ดแซบนัว
11. คอหมูย่างกับน้ำจิ้มแจ่ว

          ขอปิดด้วย คอหมูย่าง ไว้กินแกล้มกับอาหารอีสานรสเด็ดทั้งหมดทั้งมวล ซึ่งสูตรนี้เป็นคอหมูย่างน้ำผึ้ง ที่มาคู่กับน้ำจิ้มแจ่ว ย่างร้อน ๆ หอม ๆ อร่อยสุด ๆ สูตรนี้แค่ย่างในกระทะง่าย ๆ ก็ได้กินแล้วจ้า

          หมายเหตุ : คอหมูย่าง 1 จาน ให้พลังานโดยประมาณ 200 กิโลแคลอรี่

สิ่งที่ต้องเตรียม
           • เนื้อสันคอหมู 200 กรัม
           • น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ
           • ซอสปรุงรส 1 ช้อนโต๊ะ
           • ซอสหอยนางรม 1/2 ช้อนโต๊ะ
           • พริกไทยขาว 1/4 ช้อนชา
           • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
           • น้ำมะขามเปียก 1 ช้อนโต๊ะ
           • น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนชา
           • พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ
           • ข้าวคั่วป่นละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
           • หอมแดงซอย 1 ช้อนโต๊ะ
           • ต้มหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

           • ผสมน้ำปลา น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลปี๊บเข้าด้วยกัน คนผสมจนน้ำตาลปี๊บละลายหมดใส่พริกป่น ข้าวคั่ว และหอมแดงคนให้เข้ากัน โรยหน้าด้วยต้นหอมซอย เตรียมไว้
           • ผสมน้ำผึ้งกับซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม และพริกไทยขาว คนผสมจนเข้ากัน
           • ใช้ส้อมจิ้มสันคอหมูให้ทั่ว นำไปหมักกับส่วนผสมด้านบน พักทิ้งไว้ในตู้เย็นประมาณ 30 นาที
           • ตั้งกระทะจนร้อน นำคอหมูลงจี่ให้สุกทั้งสองด้าน จากนั้นหั่นเป็นชิ้น จัดใส่จานเสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มแจ่ว
ขอบคุณที่มา http://cooking.kapook.com/view92663.html

อาหารภาคอีสาน1

         1. ส้มตำไทยไข่เค็ม
          เปิดประเดิมอาหารอีสานด้วยเมนูส้มตำกันก่อนเลยดีกว่า เพราะนึกถึงอาหารอีสานทีไรก็ต้องส้มตำเป็นอันดับแรก แต่จานนี้ขอเสิร์ฟเป็นส้มตำไทยไข่เค็ม เผื่อว่าคนที่ไม่กินปลาร้า หรือไม่กินปู ก็สามารถแซ่บนัวไปด้วยกันได้

          หมายเหตุ : ส้มตำไทยใส่ไข่เค็ม (1 ฟอง) 1 จาน ให้พลังงานโดยประมาณ 130 กิโลแคลอรี่

ส่วนผสม ส้มตำไข่เค็ม

          • กระเทียมกลีบเล็ก 3-5 กลีบ
          • พริกขี้หนู ปริมาณตามชอบ
          • ถั่วฟักยาว 1 ฝัก
          • กุ้งแห้งอย่างดี 1 ช้อนโต๊ะ
          • มะเขือเทศสีดา 2 ลูก
          • น้ำปลา (ปรุงรส)
          • น้ำตาลปี๊บ (ปรุงรส)
          • น้ำมะขามเปียก (ปรุงรส)
          • น้ำมะนาว (ปรุงรส)
          • มะละกอสับ
          • แครอทสับ
          • ไข่เค็มผ่าครึ่ง 1 ฟอง
          • ถั่วลิสงคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ ส้มตำไข่เค็ม

          • โขลกกระเทียม และพริกขี้หนูเข้าด้วยกันพอหยาบ หักถั่วฝักยาวใส่ลงไป ตามด้วยมะเขือเทศหั่นเป็นชิ้น ๆ และกุ้งแห้งลงไปโขลกเบา ๆ พอให้ให้เข้ากัน
          • ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำมะขามเปียก และน้ำมะนาว โขลกให้น้ำตาลปี๊บละลาย ชิมรสตามชอบ 
          • สุดท้ายใส่มะละกอ และแครอทลงไปตำผสมเบา ๆ ให้เข้ากัน ใส่ไข่เค็มลงไป ใช้ทัพพีเคล้าผสมเบา ๆ ชิมรสอีกครั้ง ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

+++++++++++++

11 สูตรอาหารอีสาน รสเด็ดแซบนัว
2. ส้มตำข้าวโพดกุ้งสด

          ส้มตำทั่วไปก็กินจนเบื่อลองเลปี่ยนแนวมากินเมนูส้มตำข้าวโพดกุ้งสด สูตรจาก คุณ Angelisa สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม จับข้าวโพดคลุกเคล้ากับเครื่องส้มตำ ปรุงรสตามชอบ สีสันสวยงามน่าทานมากเลยค่ะ

ส่วนผสม ส้มตำข้าวโพดกุ้งสด

          • ข้าวโพดต้ม
          • ถั่วฝักยาว
          • มะเขือเทศ
          • แครอทฝานเป็นเส้น ๆ 
          • พริกขี้หนู
          • กระเทียมสับหยาบ
          • น้ำปลา (สูตรโซเดียมต่ำ)
          • น้ำตาลมะพร้าว
          • ถั่วลิสงอบ

วิธีทำส้มตำข้าวโพดกุ้งสด

          • 1. ฝานข้าวโพด หั่นถั่วฝักยาว หั่นมะเขือเทศ และฝานแครอทหั่นเป็นเส้น ๆ เตรียมไว้
          • 2. ปรุงน้ำยำโดยใส่พริกขี้หนู กระเทียมสับ น้ำปลาลดโซเดียม น้ำมะนาว และน้ำตาลมะพร้าว คลุกเคล้าให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ 
          • 3. นำน้ำยำไปคลุกกับเครื่องที่เตรียมไว้ โรยถั่วลิสงอบ 



+++++++++++++++

11 สูตรอาหารอีสาน รสเด็ดแซบนัว
3. ลาบหมู 

          ในเมื่อมีเมนูส้มตำแบบเบา ๆ แล้วแล้วก็มาเติมเต็มความอิ่มกันด้วยเมนูลาบหมูสักหน่อย อีกหนึ่งเมนูที่จะขาดไปไม่ได้เลยกับเสน่ห์กลิ่นข้าวคั่วหอม ๆ เคล้ากับเนื้อหมูรวนสุก โรยใบสะระแหน่ จกกับข้าวเหนียว หรือข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยนักแล ยิ่งในสมัยนี้ทำกินเองง่ายมาก ๆ เพราะมีผงปรุงลาบ-น้ำตกวางขายกันให้เกลื่อน !

สิ่งที่ต้องเตรียม

           • เนื้อหมูสับ 200 กรัม
           • หอมแดงซอย 1 หัว
           • ต้นหอมซอย 2 ช้อนโต๊ะ
           • ใบสะระแหน่ สำหรับโรยหน้า
           • น้ำปลา น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว สำหรับปรุงรส
           • พริกป่น ปริมาณตามชอบ
           • ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ

          •  ใส่น้ำลงในหม้อเล็กน้อย นำขึ้นตั้งไฟแรงจนเดือด ใส่เนื้อหมูสับลงไปรวนจนสุก ยกลงจากเตา

          •  ใส่หอมแดง ต้นหอมซอย และใบสะระแหน่ลงในหม้อ ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว น้ำตาลทราย และพริกป่น คนผสมให้เข้ากัน ชิมรสตามชอบ เติมข้าวคั่ว จากนั้นเคล้าผสมให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่จาน โรยใบสะระแหน่ พร้อมเสิร์ฟ

++++++++++++++

11 สูตรอาหารอีสาน รสเด็ดแซบนัว
4. ลาบปลาดุก

          อีกหนึ่งเมนูลาบที่จะขาดไปไม่ได้เลยกับ ลาบปลาดุกย่าง ต้องสั่งมาแจมด้วยเสมอ ก็เพราะกลิ่นหอม ๆ ของปลาดุกย่าง จับมาเคล้าเครื่องเคียง ปรุงรสให้แซ่บ อูย ! นึกแล้วก็น้ำลายสอ กินคู่กับข้าวเหนียวร้อน ๆ แบบนี้ก็ฟินสิจ๊ะ ! ถ้าอย่างนั้นก็มาดูวิธีทำลาบปลาดุกกันเลย หรือจะลองเข้าไปดูวิธีทำแบบละเอียด เห็นภาพขั้นตอนการทำกับแบบจะจะได้ที่ ลาบปลาดุกย่าง อาหารอีสานสูตรเด็ดสำหรับมือใหม่

สิ่งที่ต้องเตรียม

           • ปลาดุกย่าง 1 ตัว
           • ข่าอ่อน เล็กน้อย
           • ใบมะกรูดซอย
           • พริกสดซอย เล็กน้อย
           • ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
           • พริกป่น 1 ช้อนโต๊ะ (หรือตามชอบ)
           • น้ำมะนาว 1 ลูก
           • ผงชูรส ตามชอบ
           • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
           • ต้นหอมและผักชีซอย
           • ใบมะกรูดซอย

วิธีทำ

           • แกะปลาดุกเอาแต่เนื้อ จากนั้นนำไปสับรวมกับข่าอ่อนเล็กน้อย ใส่ลงในอ่างผสม เตรียมไว้ (ถ้าชอบแบบน้ำขลุกขลิกก็เติมน้ำต้มสุกลงไปเล็กน้อย)
           • ใส่พริกสดซอย ข้าวคั่ว พริกป่น น้ำมะนาว ผงชูรส และน้ำปลา คนผสมให้เข้ากันดี ชิมรสตามชอบ
           • สุดท้ายโรยต้นหอมผักชีซอย และใบมะกรูดซอยลงไป เคล้าผสมให้เข้ากัน ตักใส่จาน พร้อมเสิร์ฟ

++++++++++++++

11 สูตรอาหารอีสาน รสเด็ดแซบนัว
5. ซุปหน่อไม้

          อีกหนึ่งเมนูในตระกูลลาบ ซึ่งนอกจากซุปหน่อไม้จะเป็นที่โปรดปรานของคออาหารอีสานแล้ว ยังเหมาะกับคนที่กำลังลดความอ้วนด้วยนะคะ เพราะซุปหน่อไม้ถ้วยเดียว ให้พลังงานต่ำมาก ๆ แต่ก็กินในปริมาณที่พอดีนะคะ เพราะหน่อไม้กินมากจะไม่ดีต่อสุขภาพนะจ๊ะ

          หมายเหตุ : ซุปหน่อไม้ 1 จาน ให้พลังงานโดยประมาณ 40 กิโลแคลอรี่

สิ่งที่ต้องเตรียม

           • ใบย่านาง 5-10 ใบ
           • หน่อไม้รวก ขูดเป็นเส้นยาว
           • น้ำปลาร้า 3 ช้อนโต๊ะ (ใส่หรือไม่ใส่ก็ได้)
           • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
           • หอมแดงซอย 3 หัว
           • น้ำมะนาว สำหรับปรุงรส
           • น้ำปลา สำหรับปรุงรส
           • พริกป่น ตามชอบ
           • ข้าวคั่ว 1 ช้อนโต๊ะ
           • ผักชีฝรั่งซอย
           • ต้นหอมซอย

วิธีทำ

           • ขยี้ใบย่านางกับน้ำจนน้ำเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม กรองเอาเฉพาะน้ำ เทใส่หม้อ เตรียมไว้
           • ต้มน้ำจนเดือด ใส่หน่อไม้รวกลงต้มจนน้ำเดือดอีกครั้ง ยกลงจากเตา พักทิ้งไว้จนเย็น จากนั้นบีบน้ำออกจากหน่อไม้ให้หมด แล้วใส่ลงในน้ำใบย่านางที่เตรียมไว้ ยกขึ้นตั้งไฟจนเดือด ใส่เกลือป่น และน้ำปลาร้าลงไป ต้มจนเดือด ยกลงจาเตา เตรียมไว้
           • ตักหน่อไม้ใส่อ่างผสม ใส่หอมแดงซอย ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำปลา พริกป่น และข้าวคั่ว เคล้าผสมให้เข้ากน ชิมรสตามชอบ ใส่ผักชีฝรั่งซอย และต้นหอมซอย เคล้าให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่จาน โรยใบสะระแหน่ พร้อมเสิร์ฟ

+++++++++++++++
ขอบคุณที่มา http://cooking.kapook.com/view92663.html